แต่งงาน

จดทะเบียนสมรส…..เกือบจะไม่มี ภาวินี ปีเตอร์สัน

หลังจากดารินกลับไปบ้าน ก็ไม่มีวี่แววว่าจะแต่งงานค่ะ เราคุยกันทางอีเมล์ และ โทรศัพท์ ตามปรกติ แล้ววันหนึ่งดารินก็บอกว่าคุยกับทนายได้ความมาว่า ต้องมีทะเบียนสมรสเท่านั้นถึงจะได้เข้าปรเทศได้โดยไม่มีปัญหา (น่าจะพูดว่าปัญหาน้อยที่สุด) สรุปว่าตัดสินใจแต่งงานด้วยเหตุนี้ แต่ก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีกเกี่ยวกับการแต่งงานเลย แม้แต่กำหนดวัน ยังคงคุยกันเรื่องชีวิตประจำวันเหมือนปรกติ

จนกระทั่งกำหนดการเดินทางในเดือนเมษายน 2549 (2005) ก่อนดารินเดินทาง 1 สัปดาห์ดารินบอกว่ากำลังจะโอนเงินมาให้เป็นสินสอด.

(ขอพูดถึงสินสอดนิดนึงนะค่ะ…เราได้คุยกันตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้จักกันเรื่องนี้ เพราะวัฒนะธรรมอเมริกันเขาไม่มี โอ้ทก็ให้ข้อมูล และเวบไซด์ดารินไป ดารินถามว่าโอ้ทอยากได้เท่าไร ที่ตอบไปคือโดยส่วนตัวไม่อยากได้ค่ะเพราะหากรักกันก็ไม่จำเป็นแต่อยากให้พ่อแม่ตามประเพณี ถ้าเป็นไปได้ อยากได้ 1 ล้านบาท ดารินก็เงียบไป แล้วเราก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย มารู้ทีหลังว่าตอนแรกดารินเกือบตกเก้าอี้หน้าคอมตอนคุยกัน เพราะคิดว่า 1 ล้านอเมริกัน)

ดารินบอกโอ้ทว่าในเดือนเมษายน ต้องเสียภาษีซึ่งทำให้เงินมีน้อย ทำให้ดารินกังวลว่าจะให้ได้ไม่มากพอที่แม่พอใจ (ทางพ่อไม่มีปัญหาอะไรค่ะเพราะพ่อเองไม่ได้เรียกร้องอะไรอยู่แล้ว) โอ้ทพยายามถามจำนวนแต่ดารินไม่บอก มารู้ในวันที่เงินเข้าบัญชี (ใช้บัญชีน้องสาวเพราะตอนนั้นโอ้ทเพิ่งเปิดบัญชีใหม่ ระยะเวลายังไม่สามารถรับเงินโอนต่างประเทศได้) น้องสาวโทรมาด่วนมากค่ะ เพราะจำนวนเงินมากพอควร …

ดารินอีเมล์มา บอกว่าอย่าคิดว่าเขาซื้อเราเพราะจากเรื่องราว หญิงไทยที่ทำให้ผู้ชายต่างชาติคิดไปในด้านลบเยอะ แต่ดารินเขารู้ว่าโอ้ทไม่เป็นแบบนั้น อีกอย่างเรื่องเงินมันเป็นการดูถูกอย่างรุนแรง ดารินต้องการให้ความเคารพครอบครัวเรา และพ่อแม่เรา ทั้งต้องการทำในสิ่งที่ถูกต้องตามประเพณี อันที่จริงก็ถามเรื่องพิธีแต่งงานแบบไทย แต่โอ้ทยังไม่อยากทำในตอนนี้ ..

โอ้ทไม่ได้บอกพ่อ กับ แม่ว่าจะแต่งงานค่ะ แค่ถามว่าถ้าจะแต่งงานท่านจะว่าอย่างไร คำตอบทีได้คือ โตแล้ว ตัดสินใจอย่างไร พ่อแม่ก็เห็นด้วย เมื่อดารินมาก็เอาเงินไปให้พ่อแม่ด้วยกัน   แล้วท่านก็รู้อีกทีตอนเอาทะเบียนสมรสไปให้ดู

ตอนแรกตั้งใจจะทำเองทั้งหมด แต่ทนายที่บริษัทบอกว่าจะมีปัญหาเอกสารแปลเพราะต้องทนายเซ็นชื่อรับรอง  โอ้ทเลยใช้สำนักกฎหมายแถวเพลินจิต (ทนายที่บริษัทแนะนำ) ติดต่อนัดเรียบร้อย เมื่อวันดารินมาเราก็พากันไป

แต่นาทีนี้เกือบจะไม่มี ภาวินี  ปีเตอร์สันค่ะ เพราะ ดารินมาบอกว่าไม่แน่ใจว่าตัดสินใจถูกแน่หรือเปล่า โอ้ทโมโหมากเลยเพราะแบบนี้ถือว่าดูถูกอย่างรุนแรง (ใช้คำนี้ครั้งที่สอง) เนื่องจากเงินที่ให้มามากอยู่ แล้วจะมาว่าตัดสินใจถูกหรือเปล่าที่จะจดทะเบียนกัน

มาเข้าใจตอนดารินอธิบายว่าเขาห่วงว่าโอ้ทจะอยู่ที่อเมริกาไม่ได้ แล้วกลับมาจะทำให้เขาเสียใจและเศร้ามาก  แต่ตอนนั้นโกรธค่ะ ยื่นคำขาดถ้าไม่จดก็ไม่จด แต่คงไม่มีปัญญาเอาเงินมาคืน…ดารินไม่แคร์เลย กลับบอกว่าเงินเรื่องเล็ก….ยิ่งโมโหซิค่ะ แต่ตอนนั้นคิดว่าหรือเขากำลังทดสอบเราอยู่ สรุปเลยตัดสินใจยื่นคำขาดค่ะ ว่าถ้าไม่จด ก็คงจบ เพราะ โมโหมากๆๆๆ แต่โอ้ทถามเขาว่าแม่รู้ไหม ที่มาครั้งนี้เพื่อจดทะเบียน คนรอบข้างรู้ไหม คำตอบคือ รู้ค่ะ แสดงว่าเขาตั้งใจมาจดทะเบียน

หลังจากที่ยื่นคำขาด ในใจโอ้ทคิดว่าถ้าเขาตอบ YES วันนี้ยังไงซะต้องจดทะเบียน และแล้วคำตอบก็ ค่ะ…….

วันนั้นทั้งวันไม่คุยกันเลยค่ะ ไปสถานฑูต ก็ปล่อยดารินให้ทำเรื่องเอง (แสดงว่าเต็มใจ.) ไป อำเภอให้กรอกข้อมูล เซ็นชื่อก็ทำโดยดี เจ้าหน้าที่ยังถามเลยว่าทำไมดารินหน้างอจัง เลยตอบไปว่าโดนบังคับ…^O^
หลังจากเสร็จสิ้นทั้งหมดก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ตอนเช้าโอ้ทไปเปลี่ยนชื่อ นามสกุลที่อำเภอก็ยังตามไปด้วย ให้อยู่รอที่บ้านก็ไม่ยอมโอ้ทให้นั่งรอค่ะ เพราะต้องเดินไปหลายโต๊ะ เพราะถ้าไม่บอกคุณสามีจะเดินตามไม่ห่างเลยค่ะ แล้วก็นั่งจับพุงเป็นพระสังขจาย ไม่พูดกับใคร ไม่สนใจใคร นั่งนิ่งมาก นึกภาพดูแล้วกันนะค่ะ โอ้ทก็เดินไปโต๊ะโน่นนี่ ไม่มีเวลามานั่งด้วย สงสารค่ะ แต่ก็ยุ่งกับการเดินเอกสาร เพราะไปถึงอำเภอเกือบปิดแล้วน่ะค่ะ (อีก 30นาที) จนเสร็จ ก็เดินออกจากห้องนั้น เจ้าหน้าที่แซว “กลับแล้วเหรอค่ะ พูดได้หรือเปล่า”….ขำค่ะคุณสามีก็ เซ ไฮตอนนี้ละค่ะ เจ้าหน้าที่ขำค่ะ

มีเรื่องขำ นิดนึง….พ่อจุดชนวนเรื่องซื้อรถ เพราะโอ้ทขายรถคันเก่าไปตั้งแต่ออกงานเซลล์ ที่ทำงานใหม่ย้ายไปอยู่อพาร์ทเม้นท์ใกล้ๆ (ครั้งแรกที่ออกจากบ้านอยู่ตามลำพัง) ทุกครั้งที่ดารินมาต้องเช่ารถ เพราะคุณสามีเป็นคุณหนูมากค่ะ ไม่ขึ้นรถเมล์ มันไม่สะดวกน่ะค่ะ แล้วก็ไม่ชอบที่คนเยอะๆ ก็เลยตัดสินใจจะซื้อรถมือสอง ราคาไม่แพงมาก โอ้ทบอกดารินค่ะว่าจะซื้อรถ เราก็กระหยิ่มใจว่าดารินจะช่วย แต่…กินแห้วค่ะ…ดูบทสนทนาด้านล่าง
Oath: I want to buy a car, what do you think? (ฉันจะซื้อรถ)
Darin: It is your money, up to you (ตามใจซิ เงินเธอนี่)

ผิดคาดค่ะเพราะนึกว่าจะได้เงินเพิ่ม^_^…อันที่จริงก็เงินดารินน่ะแหละ แต่เขาให้เราไงค่ะ เลยบอกว่าเป็นเงินเรา

ปีนี้ พ่อกับน้อง ไปสกลนครกัน ทำบุญให้ปู่ย่า เพราะอัฐิอยู่ที่โน่น ตอนแรกจะไปด้วย แต่ดารินไม่สบายค่ะ ปวดหัวมาก อีกอย่างถ้าไปสกลฯ ดารินจะเหนื่อยมากเนื่องจาก เดินทางไป ค้าง 1 คืนต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯ แล้ววันรุ่งขึ้นต้องบินกลับอเมริกา เลยไม่ไปด้วยค่ะ เราเลยนัดกินข้าวกับแม่ แล้วก็พาเที่ยวในกรุงเทพฯ นิดหน่อย….คืนจะกลับโอ้ทเศร้าเลยค่ะ น้ำตาซึม ไม่อยากให้ไปเลย

แต่ทุกวันนี้ดารินประจักษ์ว่าโชคดีค่ะที่มีโอ้ท…อิอิ โอ้ทก็โชคดีที่มีดารินค่ะ
แล้วจะมาเล่าต่อน่ะค่ะ

 

เพราะเราคู่กัน ย้อนกลับไปก่อนเริ่มต้น

ย้อนกลับไปตอนต้นช่วงก่อนการเริ่มต้น…

ก่อนดารินจะมาเรามักจะคุยกันในเรื่องความเหมาะสม   ความเป็นไปได้ที่จะอยู่ด้วยกัน สิ่งที่โอ้ทจะต้องพบกับการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่จะกระทบหลังจากที่ย้ายไป ชีวิตการแต่งงาน ดารินอยากให้เราได้อยู่ด้วยกันก่อนสัก 3 เดือนแล้วค่อยแต่งงาน แต่ความเป็นไปได้มีน้อย

โอ้ทให้เหตุผลว่า เรื่องการเดินทางไปฝ่ายโอ้ทไม่มีปัญหา แต่หากไปแล้วปรากฎว่าเราเข้ากันไม่ได้ โอ้ทจะเป็นฝ่ายเสียทุกอย่าง ไหนจะงาน  ที่พัก แล้วก็เสียความรู้สึกด้วย อีกอย่างถ้าไม่มั่นใจจริงๆ ว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นคนที่ใช่แน่ๆ ที่จะร่วมทุกข์ ร่วมสุข จะไม่ออกนอกประเทศเป็นอันขาด…

ด้วยเหตุผลที่ว่านี้ทำให้ดารินคิดหาวิธีว่าจะเอายังไงดี เพราะดารินเองก็ยังไม่ต้องการที่จะย้ายมาอยู่ที่นี่ ตั้งแต่นั้นเราก้ไม่ได้คุยเรื่องนี้กันอีก  จะคุยกันเรื่องชีวิตประจำวัน ทำอะไรบ้าง อารมณ์ปรวนแปร ทะเลาะกับเจ้านาย ฯลฯ เหมือนเราอยู่ด้วยกันแล้ว จริงๆ

โอ้ทจะมีเรืองเล่าแทบทุกวัน เพราะทะเลาะกะเจ้าน้อยบ่อย ดารินก็เป็นผู้ฟังและให้กำลังใจดีมาก เวลาดารินมีปัญหาก็จะโทรมาหา โอ้ทจะรู้ทันที เพราะตกลงกันไว้ว่าโอ้ทจะเป็นฝ่ายโทรเอง เนื่องจาก ทำงานยุ่ง ดารินโทรมา ประชุมทุกที เลยไม่อยากให้ดารินเสียใจน่ะเพราะไม่ได้คุย โอ้ทจะรู้เวลา ดารินส่วนใหญ่จะอยู่บ้าน กลับจากที่ทำงานไม่ไปไหน แต่ถ้าจะไป จะอีเมล์บอกกันก่อนโอ้ทก็จะไม่อารมณ์เสีย แต่จะฝากข้อความไว้ตลอด จนดารินมาหา ครั้งแรกค่ะ

วันเสาร์-อาทิตย์ ถ้าดารินจะไม่อยู่บ้านก็จะโทรมาบอกแต่เช้าค่ะเพราะไม่เช่นนั้นโอ้ทโทรไปไม่เจอ จะบ่นยกใหญ่ค่ะ…อิอิ

เคยโทรไปเป็นสิบรอบเลยค่ะ เพราะเล่นไม่อีเมล์มาเลยอาทิตย์นึง โทรไปก็ไม่รับซะที  ห่วงมากเพราะดารินไม่สบาย ปรากฎว่าเราคิดมากกลัวว่าเป็นอะไรไปแล้วไม่มีคนช่วยเพราะอยู่คนเดียว ระดมฝากข้อความให้โทรกลับด่วน พอดารินโทรมา เทศน์มหาชาติเลยค่ะ แต่คุณสามี ขำค่ะ…ดูซิ

คู่กันแล้วไม่แคล้วกัน วันที่รอคอย

วันที่รอคอย…ความจริงที่จับต้องได้

เย็นวันที่ 18 กรกฎาคม 2548 เลิกงานก็รีบกลับไปอาบน้ำ เตรียมตัวไปรับหนุ่มที่สนามบินดอนเมือง ตื่นเต้นค่ะ …เอ!! แต่งตัวยังไงดีน๊า? ก่อนจะมาถามดารินไว้ว่าชอบให้ใส่กระโปรงจะดูเป็นผู้หญิงหวานแต่ถ้าอยากแต่งตัวยังไงก็ตามใจ เลยเลือกชุดกระโปรงยาวแขนกุดสีน้ำเงิน ออกเรียบร้อยค่ะเพราะตอนนั้นยังไม่แต่งเซ็กซี่ เพิ่งจะมาแต่งหลังจากแต่งงานแล้วนี่แหละค่ะเพราะก่อนหน้าจะออกทอม ๆ แล้วก็ปอน ๆ

เครื่องลง ห้าทุ่มกว่า ๆ ไปถึงก่อน ชั่วโมง ตอนนั้นไม่มีรถค่ะเลยใช้บริการแท๊กซี่ แวะกินข้าวก่อน หิวมากเลย แล้วตั้งใจว่าจะซื้อพวงมาลัยมะลิหอม ๆไ ปให้ด้วย แต่ตลาดที่ดอนเมืองตอนนั้นไม่มีขายแล้วก็เลยไม่ได้อะไรเลย กินเสร็จก็เดินข้ามสะพานลอยไปด้วยความตื่นเต้นสุด ๆ แต่เพราะไปถึงเร็วน่ะค่ะเลยมีเวลาเดินสำรวจสนามบิน ไปมา ใน-นอกประเทศ จนเหนื่อย (จริงๆแล้วไปผิดอาคารค่ะ) …จ๊าก

แล้วก็ไปตรวจดูให้แน่ว่าเครื่องลงอาคารไหนแน่ และแล้วก็ถึงเวลาเครื่องลง ใจเต้นตุ๊บ ๆ เลย คนก็ออกมากันเยอะ ๆ แต่เอ นี่ก็ใกล้จะตีหนี่งแล้วทำไมหนุ่มเรายังไม่ออกมาซะที ทำไงดีเนี่ย โทรศัพท์ก็ไม่เห็นมีสายเข้ามา ชักหงุดหงิดแล้ว เป็นห่วงด้วยว่าจะติดอะไรข้างในหรือเปล่า เลยตัดสินใจโทรไป ว้าว!! รับสายอย่างเร็วด่วนเลย ปรากฎว่ารอตรวจคนเข้าเมืองนาน แล้วก็แลกเงินอยู่ด้านใน เขาโทรมาแล้วแต่ไม่รู้ว่าในประเทศไทยไม่ต้องโทรเหมือนอยู่ต่างประเทศ (เราก็ไม่รู้) และแล้วเวลาสำคัญก็มาถึง….

นัดกันอย่างดีน่ะว่าเรายืนรออยู่ตรงมุมไหน ก็ยังเดินผ่านไปเฉยเลย แต่แว่บแรกที่เห็น โอ้ะ โอ…ทำไมน่ารักจัง

เมื่อก่อนยังผอมอยู่ค่ะ หน้าก็ใส เราเดินไปสะกิดแขนน่ะ เหงื่อท่วม มีผ้าขนหนูผืนเล็กติดตัวตลอดเวลา จนทุกวันนี้ ก็รอคิวแท๊กซี่….อิอิ เราจับมือหนุ่มไปตลอดทางเลยค่ะ….

ก่อนไปโรงแรม โรยัลปริ้นเซส ที่ศรีนครินทร์ แวะเอาเสื้อผ้าที่อพาร์ทเม้นท์…

โอ้ทต้องทำงานอีก 2 วันถึงจะหยุด วันแรกก็ปล่อยให้ดารินนอนทั้งวัน วันที่ 2 บังคับค่ะ ดึงจากเตียง พาส่งขึ้นแท๊กซี่พร้อมบอกทางให้ไปเที่ยว เพราะไม่งั้นพ่อหนุ่มของโอ้ทเขาก็จะไม่ไปไหนเลยค่ะ…

แล้วเมื่อโอ้ทหยุด 1 สัปดาห์ก็พาเที่ยวค่ะ ขับรถหลงก็ไม่รู้…อิอิ

ไปสวนงู กินข้าวกับ พ่อ แม่ เดินเที่ยวหน้ารามฯ ดูหนัง…

ปีแรกจะอยู่ในกรุงเทพฯ เพราะดารินอยู่แค่ 1 สัปดาห์เนื่องจากจุดประสงค์เพื่อเจอกันตัวเป็น ๆ แล้วก็ไม่แน่ใจว่าจะ ปิ๊งกันหรือเปล่าด้วยค่ะ…

และแล้ววันเดินทางกลับก็มาถึง…

ขอเม้าท์นิดนะค่ะ ขณะที่รอเวลาได้เข้าไปกินอาหารในร้าน ร้านหนึ่งในบริเวณสนามบิน ทีนี้ตอนคิดเงินไม่ยอมเอามาทอนค่ะ ถึงแม้ 5 บาท….

โอ้ทไม่ยอมซิค่ะ เห็นมากับต่างชาติแล้วจะมางุบงิบได้ไง ต้องทอนเราก่อนซิ แล้วทิปอีกเรื่อง นี่อะไร เอาไปใส่กล่องเฉย โอ้ทก็ไปทวงที่เคาน์เตอร์ซิค่ะ ไม่ปลื้มค่ะ…

ดารินจะส่ายหน้ากะโอ้ทประจำเรื่องทิป เพราะชอบเก็บเหรียญ 10 บาทไว้หยอดเครื่องซักผ้าค่ะ อีกอย่าง คนไทยนิสัยเคยตัวต่างชาติมาทีไรต้องมีทิปประจำทั้งๆที่ในราคาก็ชาร์จไปแล้ว…

ถ้าบริการดีน่ะค่ะไม่ว่าเลย อีกอย่างชอบให้กับเด็กที่บริการมากกว่าค่ะ เพราะถ้าให้รวม คนที่ไม่ดีก็จะได้ส่วนแบ่งไปด้วย….

นอกเรื่องน่ะค่ะ เราไปถึงสนามบินก่อนเวลามาก ก็ยังไม่มีเที่ยวบินที่จะไป ทำให้ดารินเริ่มกังวลว่าเขาจะได้กลับแน่หรือเปล่า คือเด็กใหม่สำหรับการเดินทางนะค่ะ ครั้งแรกที่มาเอเชีย แล้วก็ครั้งที่ 2 ที่ออกจากเมกา (ครั้งแรกก่อนมานี่ 2 เดือนได้ไปประชุมที่อิตาลี) กังวลเยอะมาก เลยไปถามเจ้าหน้าที่ก็ได้ช่องที่ต้องเช็คอิน แต่ต้องรอเวลา ที่นี่ก็เข้าก่อนเวลา 10 นาท ปรากฎว่า มารู้เมื่อดารินถึงเมกาแล้ว ว่าเกือบตกเครื่องเพราะต้องไปตรวจคนออกเมืองก่อน วิ่งสุดชีวิตเลยค่ะ เพราะประตูเครื่องกำลังจะปิด จากนั้นก็ไม่เคยเข้ากระชั้นชิดเลยคะ.
เป็นครั้งแรกของคนไม่มีประสบการณ์เดินทางออกนอกประเทศ ไม่รู้ว่าต้องทำอะไร อย่างไรบ้าง

คู่กันแล้วไม่แคล้วกัน จุดหักเห และ เริ่มต้น

จุดหักเห…..และเริ่มต้น

เราพยายามโทรไปเพื่อจะอธิบายว่าไม่ได้ มีเจตนา แล้วอีกอย่างเราก็ยังไม่เป็นแฟนกัน แค่มากกว่าเพื่อนเท่านั้น….

หนุ่มอเมริกัน (สามีเราเองในปัจจุบัน) ไม่รับโทรศัพท์ เราก็ไม่ละ กระหน่ำอีเมล์    จนกระทั่งหนุ่มอีเมล์มาบอกว่าขอจบกันเพียงเท่านี้ พร้อมกับส่งรูปเราและของที่เราส่งไปให้ในตอนนั้นกลับมา (ออกจากเมกาแล้วน่ะ แล้วยังให้เราส่งรูปเขากลับไปด้วยนะ (น้ำตาล้นจอละซิฉากนี้)…

ส่วนทางแฟน ก็โทรศัพท์คุย จนเข้าใจกัน และในที่สุด หนุ่มอเมริกันก็รับโทรศัพท์ ในวันนี้เอง มันถึงที่สุดแล้วไง เพราะไปกระทบกับการทำงานเราด้วย หนุ่มมะกันเองก็ไม่เป็นอันทำงาน เพราะ เศร้า เราเลยตกลงกันว่า มาเริ่มต้นกันใหม่จากการเป็นเพื่อน เป็นกำลังใจให้กัน ในขณะที่แฟนเราก็ไม่เคยบอก หรือแสดงว่าจะ มีความมั่นคงให้กับเราในอนาคต…..

เฮ้อ!!! คิดแล้วหนักหนาเอาการ เกือบไปแล้ว…

ตอนนั้นดารินก็ติดต่อกับผู้หญิง จากเวบแม่สื่อ 2-3 คน แล้วเราก็อีเมล์หากันทุกวันนับแต่นั้น ในฐานะเพื่อน …มีเซอร์ไพรส์อีกแล้ว วันวาเลนไทน์มีบริษัทดอกไม้โทรมาว่ามีคนส่งมาให้จากต่างประเทศ…

เอาละซิจากคนไหนล่ะ ถามใคร ก็ไม่มีใครบอก…แฟนเราเอง (ในขณะนั้น) เป็นคนส่งมา

เราก็ยังคุยกะดารินทางอีเมลุทุกวัน ในขณะที่ แฟนเราก็รู้ จนกระทั่งแฟนเรามาเดือน เมษายน 2548( 2005) เป็นครั้งสุดท้าย เพราะเรารู้มาว่าเขาแต่งงานแล้ว อยู่ด้วยกันที่ประเทศเขา มา 10 กว่าปี…

เศร้ามาก เราถามดารินว่าจะมารู้จักกันไหมแบบตัวเป็นๆ โดยไม่เจาะจงว่าในสถานะอะไรทั้งสิ้น? เพราะถ้าไม่มาฉันจะหาใหม่แล้วนะ (มีขู่…555) แล้วดารินก็มา 18 -24 กรกฎาคม 2548…

ลุ้นกันต่อนะค่ะ ขอยก บางส่วนจากอีเมล์ที่ดารินส่ง มาให้หมั่นไส้กันค่ะ เพราะถ้าเอามาทั้งหมดคงยาวเกินไปเพราะเขียนมาครั้งละ 1-2 หน้า เมล์นี้ก็ หน้าครึ่ง แต่ตัดมาเฉพาะเด็ดๆ จ้า…อิอิ

From: Peterson

Sent: Wednesday, December 15, 2004 11:25:48 AM

To: oathka

to my love, Pavinee‎

I just got done speaking with you on the phone at this point in the letter. I just wanted to let you know that only you have my love. I just wish I was there to show you. It is no good to only say you love a person and not show love. A person must show love too.Do you think we could sit down with your parents in April and talk about a wedding ceremony?

Love,Darin

 

เพราะเราคู่กัน จดหมายใคร ?

จดหมายใครส่งมาจากต่างประเทศ?

ช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2547(2004)……เย็นวันหนี่งเมื่อกลับถึงบ้านจากมหาวิทยาลัย มีจดหมายจากต่างประเทศถึง Miss Pavinee Sirikhanth เอาละหว่า ใครว่ะ? รู้สึกแปลกประหลาดจริง ๆ น่ะคะ เพราะ ตอนนั้นเรามีแฟนแล้ว และก็ไม่เคยให้ที่อยู่ หรือเบอร์โทรใครเลย ที่แชททุกคนก็ไม่เคย แล้วมาได้ไงเนี่ย ดังนั้นไม่รอช้าเปิดผนึก….

อุแม่เจ้า หนุ่มหล่อ ส่งจดหมายมา บอกว่าอยากเป็นแฟนเรา พร้อมรูปถ่าย 3 ใบ จากจดหมาย ทำให้นึกได้ทันทีว่าที่มาอย่างไร …….

เนื่องจากว่า ชอบเข้าไปอ่านเรื่องราว สาวไทย พบรักต่างชาติในเวบแม่สื่อต่าง ๆ เลยเข้าไปสมัครไว้ทั่ว จนจำไม่ได้ว่าที่ไหนบ้าง แล้วก็มาไล่ลบไป แต่ไม่รุ้ว่ามันมีเวบที่ไม่ได้ลบหลงอยู่ จนคุณสามี (ปัจจุบัน) เข้าไปเจอ รูปที่ลงก็แสนจะธรรมดา หน้าตาเด็กบ้านนอก เห็นแค่หัวด้วย ไม่เหมือนสาว ๆ ที่เขาลงประกาศสมัยนี้ สวยพริ้ง เป็นเพราะเราไม่ได้ตั้งใจเข้าไปหาแฟนน่ะ สิ แต่เพราะความอยากรู้ และ ก็ช่วยเพื่อนหาแฟน เขาบอกว่าไปเจอมาจากเวบเอเชี่ยนอะไรสักอย่าง………จำไม่ได้ ทำไงล่ะ?

อีเมล์บอกแฟน(ในขณะนั้น) ให้รู้ว่ามีผู้ชายส่งจดหมายมาหานะ ต้องการเป็นแฟน จะให้ตอบไหม เพราะอันที่จริงเราอยากตอบน่ะ สรุปว่าไม่มีปัญหา ก็ตอบจดหมายไป (ตามอีเมล์ที่เขาให้มาในจดหมาย) ว่าเป็นได้แค่เพื่อน เพราะ มีแฟนอยู่แล้ว ก็ติดต่อกันอยู่ทางอีเมล์ทุกวัน เขาโทรมาบ้าง กระทั่ง ธันวาคม ปีนั้น แล้วมันมีเรื่องที่หักเห คงเป็นบุปเพ….อิอิ

แฟน(ในขณะนั้น) ขาดการติดต่อ มารู้อีกทีเพราะอินเตอร์เนต หรือ สายสัญญาณมีปัญหาเลยทำให้เราไม่ได้รับอีเมล์เขาเลย แม้กระทั่งเขาส่งจดหมาย แนบเงินมาให้ช่วยย้ายอพาร์ทเม้นท์ก็ไม่ได้รับ (ครั้งแรกที่ออกจากบ้านมาอยู่คนเดียว เพราะทำงานไกลน่ะ เดินทางเหนื่อย ไม่ไหว) รู้ตอนที่ติดต่อกันได้ เขาบอก….

แต่เราว่าบุปเพ เพราะ ตลอดระยะเวลา 1 เดือน ไม่เคยได้รับ อีเมล์จากแฟน แล้วก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่โทรมาหาเรา ดังนั้นเราตัดสินใจว่าจะเปลี่ยนความสัมพันธ์จากเพื่อนเลื่อนตำแหน่งขึ้นมาเกือบเป็นแฟนแล้วกับหนุ่มอเมริกันสุดหล่อ จนกระทั่ง คริสมาสต์ปีนั้น แฟนติดต่อมา(จนได้) แล้วเราก็ หักอกหนุ่มอเมริกัน…..

เอาละซิ ยุ่งกันไปใหญ่….ฮ่าฮ่า

 


 

คู่กันแล้วไม่แคล้วกัน ที่มา

ที่มา…

ย้อนไปประมาณ 11 ปี(นับจากวันที่ด้านบนนะคะ)

จำความได้เริ่มเล่นอินเตอร์เนต และหัดแชท เมื่อเพื่อนน้องสาว เอาคอมฯ มาฝากไว้ที่บ้าน ก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องหาแฟนต่างชาติ แต่อยากรู้ว่าไอ้แชทเนี่ยมันเป็นยังไง ปรากฎว่า ติดงอมแงมเลยค่ะ วันไหนไม่ได้เล่นนอนไม่หลับค่ะ แรกๆ ก็หัดเล่นห้องคนไทย คุยนานเข้ารู้สึก เฮ้อ!! ไร้สาระ ไม่สร้างสรรค์เลย ก็อยากแชทภาษาอังกฤษบ้าง…ทันสมัย

ก่อนอื่นก็เข้าไปห้องภาษาอังกฤษ แต่เอะทำไม แชทภาษาไทยกันทุกคนเลย แล้วก็เบื่ออีก (หลายเดือนอยู่ค่ะ) จากนั้นมารู้จัก ยาฮู แมสเซ็นเจอร์ เอ!! เขาเล่นกันยังไงน๊า? ลองดู เริ่มจากเข้าไปนั่งดูต่างชาติคุยกันเนื่องจากไม่มั่นใจภาษาตัวเอง ได้อาทิตย์นีง ก็เอาน่า เป็นไงเป็นกัน ก็คุย….แรกๆ โอ้ย สารพัด ฝรั่ง ลามกกกกกกกกกกกกกก………กลัวจนหายกลัว ด่าไม่เป็นจน ด่าเป็นภาษาอังกฤษเลย…5555 มันคงซึมซับเข้ามาโดยไม่รู้ตัว

ก็คุยอยู่ประมาณ 1 ปีค่ะ มีหลายชาติ เสนอตัวจะเป็นแฟนเรา แต่สุดท้ายพอเช็คทางโทรศัพท์ (มีผู้แนะนำที่ดีว่าต้องทำอย่างไรก็ต่างชาติอีกนั่นแหละ) มีภรรเมียแล้วทั้งนั้น บางคนคุยกันสักระยะพอประมาณ (หลายเดือน) ก็เริ่มคุยเรื่องมาหาเราผลที่ได้คือ หายยยยยยยยยยยยยยยย จ๋อยจ้า…

จนกระทั่งเจอคนจริง (ยังมะใช่สามีสุดรักค่ะ….ใจเย็นๆ เอาไว้ลุ้น) ก็คุยกันทุกคืน หลังเลิกเรียนน่ะ ตอนนั้นเรียนรามฯ

ครบ 1 ปี เขาก็มา….คนนี้มา 2 ครั้ง (2 ปี) จนกระทั่ง…..